วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ประวัติความเป็นมาของกีฬาฟุตบอล

Picture
ประวัติความเป็นมาของกีฬาฟุตบอล(Football) หรือซอคเก้อร์ (Soccer) เป็นกีฬาที่มีผู้สนใจที่จะชมการแข่งขันและเข้าร่วมเล่นมากที่สุดในโลก ชนชาติใดเป็นผู้กำเนิดกีฬาชนิดนี้อย่างแท้จริงนั้นไม่อาจจะยืนยันได้แน่นอน เพราะแต่ละชนชาติต่างยืนยันว่าเกิดจากประเทศของตน แต่ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศอิตาลี ได้มีการละเล่นชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ซูเลอ" (Soule) หรือจิโอโค เดล คาซิโอ (Gioco Del Calcio) มีลักษณะการเล่นที่คล้ายคลึงกับกีฬาฟุตบอลในปัจจุบัน ทั้งสองประเทศอาจจะถกเถียงกันว่ากีฬาฟุตบอลถือกำเนิดจากประเทศของตน อันเป็นการหาข้อยุติไม่ได้ เพราะขาดหลักฐานยืนยันอย่างแท้จริง ดังนั้น ประวัติของกีฬาฟุตบอลที่มีหลักฐานที่แท้จริงสามารถจะอ้างอิงได้ เพราะการเล่นที่มีกติกาการแข่งขันที่แน่นอน คือประเทศอังกฤษเพราะประเทศอังกฤษตั้งสมาคมฟุตบอลในปี พ.ศ. 2406 และฟุตบอลอาชีพของอังกฤษเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2431

 วิวัฒนาการด้านฟุตบอลจะเป็นไปพร้อมกับความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ตลอดมา ต้นกำเนิดกีฬาตะวันออกไกลจะได้รับอิทธิพลมาจากสงครามครั้งสำคัญๆ เช่น สงครามพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้นำเอา "แกลโล-โรมัน" (Gello-Roman) พร้อมกีฬาต่างๆ เข้ามาสู่เมืองกอล (Gaul) อันเป็นรากฐานส่วนหนึ่งของกีฬาฟุตบอลในอนาคต และการเล่นฮาร์ปาสตัม (Harpastum) ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นกีฬาซูเลอ

กติกาการเล่นฟุตบอลในปัจจุบันกีฬาฟุตบอลมีกติกาสากลทั้งหมด 17 ข้อหลักที่มีการใช้ในฟุตบอลทั่วโลก โดยกติกาอาจมีการดัดแปลงบ้างสำหรับฟุตบอลเด็กและฟุตบอลหญิง ซึ่งจะมีสภาพร่างกายและรูปแบบการเล่นที่แตกต่างจากฟุตบอลชาย กติกาทั้ง 17 ข้อจะมีรูปแบบเรียงกันและเกี่ยวข้องกับการเล่นฟุตบอลดังนี้
1.สนามฟุตบอล
2.ลูกฟุตบอล
3.จำนวนผู้เล่น
4.อุปกรณ์การเล่น
5.กรรมการ
6.ผู้ช่วยกรรมการ
7.ระยะเวลาการแข่งขัน
8.การเริ่มต้นการแข่งขัน
9.การเตะมุม
10.บอลออกนอกสนาม
11.วิธีนับคะแนน
12.การล้ำหน้า
13.ฟาวล์
14.ฟรีคิก
15.ลูกโทษ
16.การทุ่ม
17.โกลคิก
18ผู้เล่น กรรมการและอุปกรณ์ที่ใช้ทำการแข่งขัน

ในแต่ละทีมประกอบด้วยผู้เล่นสูงสุด 11 คนที่สามารถลงเล่นในสนาม โดยสามารถมีผู้เล่นสำรองสามารถนั่งเพื่อรอเปลี่ยนตัว โดยในสิบเอ็ดคนนั้นจะต้องมี ผู้รักษาประตูหนึ่งคน ในการแข่งขันอย่างเป็นทางการจะมีกติกาเพิ่มว่าจะต้องมีผู้เล่นอย่างน้อย 7 คนเป็นอย่างน้อย(ในกรณีที่ผู้เล่นโดนใบแดง) เพื่อทำการแข่งขันได้ต่อไป โดยผู้เล่นทุกคนยกเว้นผู้รักษาประตู ไม่สามารถใช้มือหรือแขนสัมผัสลูกฟุตบอลได้(แต่จะสามารถใช้ส่วนอื่นยกเว้นมือแขนเพราะจะFouls ทันทีเมื่อกรรมการเห็น แต่ถ้ากรรมการไม่เห็นก็อาจจะไม่Foulsก็ได้) ซึ่งขึ้นอยู่กับการมองเห็นของกรรมการ อุปกรณ์หลักในการเล่นฟุตบอลโดยที่ลูกฟุตบอลนั้นจะต้องมีขนาดที่ได้มาตรฐานเป็นทรงรีมีขนาดเส้นรอบวงไม่เกิน 27-28 นิ้ว และน้ำหนัก 396 – 453 กรัม ผู้เล่นต้องมีการใส่ชุดที่ประกอบไปด้วย เสื้อ กางเกง ถุงเท้า รองเท้า และสนับแข้ง โดยต้องไม่ใส่เครื่องประดับที่อาจเป็นอันตรายได้ไม่ว่าปืนหรือมีดและผู้รักษาประตูต้องใส่ชุดที่แตกต่างจากผู้เล่นผู้อื่นและต้องแตกต่างจากกรรมการเช่นกันจากฟีฟ่า ระหว่างการเล่น ผู้เล่นสามารถเปลี่ยนตัวกับตัวสำรองได้โดยในการแข่งขันทั่วไปสามารถเปลี่ยนตัวในแต่ละนัดการแข่งขันได้ไม่เกิน 5 ครั้ง โดยสาเหตุในการเปลี่ยนตัวอาจเกิดจาก อาการบาดเจ็บ ร่างกายไม่ไหว หรือเปลี่ยนแผนการเล่น โดยผู้เล่นที่ถูกเปลี่ยนตัวออกแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนตัวเข้าไปเล่นได้อีกตามใจชอบ กรรมการจะเป็นบุคคลที่มีหน้าที่ตัดสินผลการแข่งขัน รวมถึงควบคุมและจับเวลาการแข่งขัน โดยในการแข่งขันจะมีผู้ช่วยกรรมการ 2 คน ซึ่งผู้เล่นจะไม่สามารถคัดค้านกรรมการได้ในเวลาเล่นเพราะตัดสินไปแล้วจะไม่สามารถแก้ได้แล้ว

สนามฟุตบอลที่ใช้ในการแข่งขัน

สนามฟุตบอลมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตตุรัสมีความยาวระหว่าง 90-120 เมตร และความกว้างระหว่าง 45-90 เมตร โดยเส้นขอบสนามของด้านยาวจะเรียกว่า "เส้นข้าง " ขณะที่ขอบสนามของด้านกว้างจะเรียกว่า "เส้นประตู" โดยคานประตูจะตั้งอยู่กึ่งกลางบนเส้นประตูและสนามโดยจะมีความสูง 2.44 เมตร (8 ฟุต) เหนือจากพื้นดิน และเสาประตูจะห่างกัน 7.3 เมตร (8 หลา) เสาและคานประตูจะต้องมีสีขาว ตาข่ายจะมีการขึงด้านหลังประตูด้วย แต่อย่างไรก็ตามตาข่ายประตูไม่ได้มีกำหนดไว้ในกติกาสากล ด้านหน้าประตูจะเป็นบริเวณเขตโทษ ซึ่งแสดงถึงบริเวณที่ผู้รักษาประตูสามารถถือบอลได้ และยังคงใช้ในการเตะลูกโทษซึ่งเป็นการที่ทีมรับทำผิดกติกาในกรอบเขตโทษ

ระยะเวลาการแข่งขัน

การแข่งขันจะแบ่งออกเป็นสองช่วงเวลา โดยครึ่งละ 45 นาที โดยเวลาการแข่งขันจะมีการนับตลอดเวลา แม้ว่าฟุตบอลจะถูกเตะออกนอกสนามและกรรมการสั่งให้หยุดเล่นก็ตาม ระหว่างครึ่งจะมีเวลาพักให้ 15 นาที กรรมการจะเป็นคนควบคุมเวลา และจะทำการทดเวลาบาดเจ็บในช่วงท้ายของแต่ละครึ่งเพื่อทดแทนเวลาที่เสียไประหว่างการเล่น โดยเมื่อจบการแข่งขันกรรมการจะทำการเป่านกหวีดลากเสียงยาวเพื่อเป็นสัญญาณหยุดการแข่งขัน ในการแข่งขันแบบลีกจะมีการจบการแข่งขันสำหรับผลเสมอ แต่สำหรับการแข่งขันที่ต้องรู้ผลแพ้ชนะจะมีการต่อเวลาพิเศษ(ง่ายๆคือการแข่งชิงถ้วยรางวัล) ซึ่งจะประกอบไปด้วย 2 ครึ่ง ครึ่งละ 15 นาที โดยถ้าคะแนนยังคงเสมอกันจะมีการให้เตะลูกโทษ (ด้านการเตะลูกโทษมีคนวิจัยมาว่าทีมไหนเตะก่อนจะมีเปอร์เซนต์การชนะมากกว่าทีมที่เตะทีหลัง) ซึ่งเป็นเพราะผลทางจิตวิทยา แต่ถ้าทีมที่ยิงก่อนยิงไม่เข้าโอกาสก็จะมาเข้าทีมที่ยิงทีหลังเพราะจะมีการผ่อนคลายกว่า ไอเอฟเอบีได้ทดลองการกำหนดรูปแบบการทำคะแนนในช่วงต่อเวลาที่เรียกว่า โกลเดนโกล โดยทีมที่ทำประตูได้ก่อนในช่วงต่อเวลาจะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน และ ซิลเวอร์โกล โดยทีมที่ทำประตูนำเมื่อจบครึ่งเวลาแรกจะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน โดยโกลเดนโกลได้ถูกนำมาใช้ใน ฟุตบอลโลก 1998 และ ฟุตบอลโลก 2002 โดยมีการใช้ครั้งแรกในการแข่งขันทีมชาติฝรั่งเศส ชนะ ปารากวัย ในปี 1998 ขณะที่ซิลเวอร์โกลได้มีการใช้ครั้งแรกในฟุตบอลยูโร 2004 ซึ่งปัจจุบันโกลเดนโกล และซิลเวอร์โกลไม่มีการใช้แล้วเนื่องจากในปัจจุบันสมาพันธ์ฟุตบอลได้เห็นแล้วว่าทุกคนทุกทีมมีโอกาสที่เท่าเทียมกันจึงควรได้รับโอกาสทุกทีมที่เข้าแข่งขัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น